ใบงานที่ 1 เรื่อง กระบวนการคิดเพื่อการการแก้ปัญหา


ใบงานที่ 1  เรื่อง กระบวนการคิดเพื่อการการแก้ปัญหา


1. ความรู้ หมายถึงอะไร ?

     คำว่า “ความรู้” มีผู้ให้ความหมายหลายนัย และหลายมิติ ดังนี้
  • ความรู้ คือ สิ่งที่เมื่อนำไปใช้ จะไม่หมด หรือสึกหรอ แต่จะยิ่งงอกเงย หรืองอกงามขึ้น
  • ความรู้ คือ สารสนเทศที่นำไปสู่การปฏิบัติ
  • ความรู้ เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้
  • ความรู้ เกิดขึ้น ณ จุดที่ต้องการใช้ความรู้นั้น
  • ความรู้ เป็นสิ่งที่ขึ้นกับบริบท และกระตุ้นให้เกิดขึ้น โดยความต้องการ
          ในยุคแรกๆ ของการพัฒนาศาสตร์ด้านการจัดการความรู้ มองว่า ความรู้ มาจากการจัดระบบและตีความ สารสนเทศ (Information) ตามบริบท และสารสนเทศก็มาจากการประมวล ข้อมูล (data) 
ความรู้จะไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่นำไปสู่การกระทำ หรือการตัดสินใจในการจัดการสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคแห่งสังคมที่ใช้ ความรู้เป็นฐาน (knowledge-based society) มองความรู้ ว่าเป็น ทุนปัญญา หรือทุนความรู้สำหรับการสร้างคุณค่า และมูลค่า (value) การจัดการความรู้เป็นกระบวนการใช้ทุนปัญญา นำไปสร้างคุณค่า และมูลค่า ซึ่งอาจเป็นมูลค่าทางธุรกิจ หรือคุณค่าทางสังคมก็ได้


2 . กระบวนการคิด หมายถึงอะไร ?

          การคิด คือ การที่เรารู้สึกได้เมื่อมีสิ่งต่างๆ มาสัมผัสทั้งกายและใจ นั้นคือ มีสิ่งเร้ามากระตุ้น เช่น
ความรู้สึกต่างๆ สุข เศร้า เสียใจ และสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา เช่น สภาพอากาศ ร้อน หนาว เป็นต้นโดยกระบวนการคิดนี้จะเกิดอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลาเราจะไม่หยุดคิดแม้กระทั่งเวลานอน การคิดนั้นเป็นกระบวนการทางสมองซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังคิดประสบการณ์ที่ได้รับมาสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและบริบทโดยผู้คิดจะต้องตั้งเป้าหมายในการคิดให้ชัดเจนพร้อมกำหนดวัตถุประสงค์และสิ่งสำคัญ คือ ผู้คิดต้องมีสติ คือ การระลึกรู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่เสนอเพื่อให้ตนนั้นมีการคิดอย่างมีประสิทธิภาพกระบวนการคิด คือ รูปแบบของการคิดที่มีขั้นตอนของการคิดเป็นลำดับขั้น ในแต่ละขั้นตอนของการคิดต้องใช้ทักษะการคิดหรือลักษณะการคิดหลาย ๆ แบบมาประกอบกัน การคิดที่เป็นกระบวนการคิดมีอยู่หลายรูปแบบ ที่สำคัญ ได้แก่

  • 1. การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creative Thinking)
  • 2. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking)
  • 3. การคิดตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
  • 4. การคิดเลียนแบบอริยสัจ
  • 5. การคิดทางคณิตศาสตร์
  • 6. การคิดทางบริหารและการจัดการ


3. ปัญหา หมายถึงอะไร ?


          ในชีวิตประจำวันทุกคนต้องเคยพบกับปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการเรียน การงาน 
การเงิน หรือแม้แต่การเล่นเกม เมื่อพบกับปัญหา แต่ละคนมีวิธีที่จะจัดการหรือแก้ปัญหาเหล่านั้นแตกต่างกันไป ซึ่งแต่ละวิธีการอาจให้ผลลัพธ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกันเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้
 ความสามารถ และประสบการณ์ของบุคคลผู้นั้น อย่างไรก็ตาม หากเรานำวิธีการแก้ปัญหาต่างวิธีนั้น
มาวิเคราะห์ให้ดี จะพบว่าสามารถสรุปวิธีการเหล่านั้นเป็นทฤษฎีซึ่งมีรูปแบบที่แน่นอนได้ และบางครั้งต้องอาศัยการเรียนรู้ในระดับสูงเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างให้สมบูรณ์แบบ

          นอกจากวิธีการแก้ปัญหาที่ยกตัวอย่างมาซึ่งได้แก่ วิธีการลองผิดลองถูก การใช้เหตุผล การใช้วิธีขจัด ยังมีวิธีการแก้ปัญหาอีกมากมายที่ผู้แก้ปัญหาสามารถเลือกใช้ให้เข้ากับตัวปัญหาและประสบการณ์ของ ผู้แก้ปัญหาเอง แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการเหล่านั้นล้วนมีขั้นตอนที่คล้ายคลึงกัน และจากการศึกษาพฤติกรรมในการเรียนรู้และแก้ปัญหาของมนุษย์พบว่า โดยปกติมนุษย์มีกระบวนการในการแก้ปัญหา 
ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
  • 1. การวิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา
  • 2. การเลือกเครื่องมือและออกแบบขั้นตอนวิธี
  • 3. การดำเนินการแก้ปัญหา
  • 4. การตรวจสอบและปรับปรุง



4. กระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหา หมายถึงอะไร ?

     รูปแบบของกระบวนการคิดแก้ปัญหาวิธี ต่าง ๆ  จากนักคิดหลายท่าน
1. แนวคิดการคิดแก้ปัญหา การแก้ปัญหาแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ 

     1.1 การประเมินสถานการณ์ เป็นการวิเคราะห์ถึงสภาพ ขอบเขต ขนาดของปัญหา
     1.2 การค้นหาต้นเหตุของปัญหา เป็นการศึกษาถึงต้นเหตุ หรือปัจจัยของปัญหา
     1.3 การค้นหาวิธีการแก้ปัญหา เป็นการแสวงหาแนวทาง และทางเลือกที่เหมาะสม 
          ในการ แก้ปัญหานั้นๆ เพื่อการประเมินหาทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
     1.4 การดำเนินการแก้ปัญหา เป็นการเลือกโดยการประเมินวิธีการเพื่อทำให้เกิด ประโยชน์ สูงสุด
     1.5 การควบคุมกำกับการดำเนินการ เป็นการติดตามผลการปฏิบัติเป็นระยะๆ 
           เพื่อให้ สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดได้


        มยุรี หรุ่นขา (2544) อ้างอิงจากทฤษฎีเชาวน์ปัญญาของกิลฟอร์ด (Guilford, 1967) 
ให้รูปแบบการแก้ปัญหาโดยทั่วไป ประกอบด้วยการทำงานของกระบวนการทางสมองด้านการ 
คิด (Operations) คือ  การจำ (Memory) 
                                  การรู้และเข้าใจ (Cognitive)
                                  การคิดแบบอเนกนัย (Divergent thinking)
                                  การคิดแบบเอกนัย (Convergent thinking)
                                  การประเมินค่า (Evaluation)


       ซึ่งทั้งสองทฤษฎีดังกล่าวจะมีความสามารถผสมผสานการทำงาน ตั้งแต่การใช้ความรู้ ประสบการณ์ 
เดิมในสมอง คือ ความจำที่ได้รู้จากการเรียนรู้ ประสบการณ์ที่ได้จากบุคคล สิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์
 รอบตัวมาเป็นเครื่องประเมิน กลั่นกรอง แยกแยะ และวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาทางออกให้ปัญหาเหล่านั้น
โดย การคิดที่เป็นเอกนัยหรืออเนกนัยก็ตามเพื่อให้เกิดแนวทางเลือก ทางออกของปัญหาที่ดีที่สุด
แล้วติดตาม ประเมินผลเพื่อรอดูผลและแก้ไขสถานการณ์หากเกิดซ้ำอีก ซึ่งกระบวนการคิดแก้ปัญหา
ของกิลฟอร์ด มีดังนี้

 1. ขั้นเตรียมการ คือขั้นของการค้นพบปัญหาที่แท้จริง
 2. วิเคราะห์ปัญหา คือการพิจารณาสาเหตุสำคัญๆ ของปัญหา
 3. ขั้นเสนอแนวทางแก้ปัญหา คือการหาวิธีการแก้ปัญหา เป็นทางเลือกที่ตรงกับสาเหตุ
     แล้วใช้การแก้ปัญหา
 4. ขั้นตรวจสอบผล เป็นการติดตามประเมินผลจากข้อ 3 เพื่อให้พบผลลัพธ์ที่พอใจ อาจ
    ต้องแก้ไขทิศทางการแก้ปัญหาใหม่ 
 5. ขั้นการนำไปประยุกต์ใช้ เมื่อพบปัญหาใกล้เคียง
     อาจนำไปศึกษาเพื่อแก้ไข เพื่อหาทิศทางใหม่


2. วิธีการสอนแบบแก้ปัญหา (Problem Solving Method) จอห์น ดิวอี้ เป็นผู้คิดวิธีสอนแก้ปัญหานี้ขึ้น 
โดยมุ่งให้ผู้เรียนได้ศึกษาและฝีกฝนวิธีการแก้ปัญหา ต่างๆที่พบในชีวิตประจำวันได้อย่างเป็น
กระบวนการ สมเหตุสมผลและมีหลักเกณฑ์ อันเป็นการเตรียมเด็กหนุ่ม สาวให้สามารถปรับปรุงตัว
เข้ากับสิ่งแวดล้อมและความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้ โดยน าความรู้และ ประสบการณ์จากหลายๆ
สาขาวิชามาประกอบกันในการแก้ปัญหานั้นๆ ส าหรับขั้นตอนการสอนของวิธีการ สอนแบบแก้ปัญหา
 มีดังนี้: 

          ขั้นตอนการสอน 
  • ขั้นที่ 1 กำหนดปัญหา
  • ขั้นที่ 2 ขั้นวิเคราะห์ปัญหา
  • ขั้นที่ 3 ตั้งสมมุติฐาน
  • ขั้นที่ 4 เก็บรวบรวมข้อมูล
  • ขั้นที่ 5 วิเคราะห์ข้อมูล
  • ขั้นที่ 6 สรุปผล


3. การคิดแก้ปัญหา สเตนิช (Stanish) ได้เสนอว่า ในการฝึกการคิดแก้ปัญหาจะมีทักษะและมีการฝึก
เป็น ขั้นตอน การฝึกทักษะการแก้ปัญหาดังกล่าวนั้นจะมีกระบวนการฝึกฝน 6 ขั้นตอน คือ 

     1. ขั้นตระหนักรู้ปัญหา (Sensing Problem and Challenges)
     2. ขั้นค้นหาสาเหตุของปัญหา หรือขั้นรวบรวมข้อมูล (Data Finding)
     3. ขั้นกำหนดปัญหา (Problem Finding)
     4. ขั้นหาแนวทางในการแก้ปัญหา (Idea Finding)
     5. ขั้นค้นหาข้อสรุปและเลือกวิธีการแก้ปัญหา (Solution Finding)
     6. ขั้นยอมรับข้อสรุปและด าเนินการแก้ปัญหา (Acceptance Finding)
         โดยจะต้องฝึกฝนทีละขั้นตอนตามลำดับตั้งแต่ขั้นที่1 เรื่อยไปจนถึงขั้นที่6 เพราะในแต่ 
         ละขั้นตอนก็แตกต่างกัน และเน้นหนักทักษะที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นในการฝึกจึง
         ไม่ควรยกเว้น หรือข้ามขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งด้วย


5. ตัวอย่างกระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหา 

   ตัวอย่าง การวางแผนไปโรงเรียน

     1) การวิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา

          1.1 การระบุข้อมูลเข้า คือ การตื่นนอน
          1.2 การระบุข้อมูลออก คือ ไปถึงโรงเรียน
          1.3 การกำหนดวิธีประมวลผล คือ การเดินทาง

      2) การวางแผนในการแก้ปัญหา

          1) เริ่มต้น
          2) ตื่นนอน
          3) ง่วงใช่ไหม
          4) ถ้าง่วงนอนต่อ 10 นาที แล้วตื่นไปอาบน้ำและแต่งตัว
          5) ถ้าไม่ง่วงอาบน้ำและแต่งตัว
          6) ไปโรงเรียน
          7) จบ

     3) การดำเนินการแก้ปัญหาตามแนวทางที่วางไว้

           ปฏิบัติตามขั้นตอนในข้อ 2

     4) การตรวจสอบ

            ตรวจสอบว่าถึงโรงเรียนหรือยัง

ข้อมูลอ้างอิง!!!








ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิชา การออกแบบและเทคโนโลยี (ว32286)

โปรแกรมคอมพิวเตอร์